ประวัติหลวงปู่ชม

ประวัติหลวงปู่ชมฐานะธัมโม

นามเดิมหลวงปู่ชื่อ "ชมจันทร์หนองสวง" เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมพ.ศ. 2427 (วัน 4 ฯ 6) ปีระกาที่คุมวัดกลางอ. จสุวรรณภูมิ. ร้อยเอ็ดบิดาชื่อนายพรมราชมารดาชื่อนางบัวศรีชีวิตเยาว์วัยของหลาวงปู่เป็นคนตรงไปตรงมาความซื่อสัตว์สุจริตรักษาความยุติธรรมเป็นคนกล้าหาญจิตใจแกร่งกล้าชอบเล่นเครื่องลางของคลังจนเพื่อนๆรุ่นเดียวกันในสมัยนั้นเกิดความยำเกรงหลวงปู่จึงมีมิตรสหายมากมายในระแวกนั้นในวัยหนุ่มหลวงปู่ท่านใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าเมื่ออายุได้ 25 ปีจึงแต่งงานกับนางสีดาตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตครองเรือนครองรักอยู่กับครอบครัวท่านได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีประกอบอาชีพทำนาเลี้ยงครอบครัวหลังเสร็จจากการเก็บเกี่ยวแล้งท่านจะหารายได้พิเศษมาจุนเจือโดยการเป็นพ่อค้าวัวซื้อขาย - ควายสมัยนั้นเขาเรียกกันว่านาย "ฮ้อย" จะรวบรวมสมัครพรรคพวกต้อนวัว - ควายไปขายตามแนวเขตชายแดนเขตเขมรแถวบริเวณอำเภอช่างจอมจังหวัดสุรินทร์การต้อนวัวฝูง - ควายไปขายตามแนวชายแดนมีทั้งราบรื่นและมีทั้งอุปสรรคทั้งนานัปการในปัจจุบันใครได้ดูละครเรื่องฮ้อนายยทมิฬก็พอจะมองภาพออกหลวงปู่ชมคงจะทำหน้าที่เป็นนาย "ฮ้อยเคน" ในการทำนา - และการค้าขายทำให้หลวงปู่มีฐานะครอบครัวดีอาจพูดได้ว่ามั่งมีพออยู่พอกินแต่หลวงปู่ขาดได้อยู่อย่างหนึ่งคือไม่มีทายาทที่จะสืบสกุลได้อุ้มชูดูแลนี้คือบุญบารมีแต่ปางก่อนของหลวงปู่ทำให้หลวงปู่ไม่มีบ่วงผูกคอหลวงปู่ได้อยู่ร่วมครองเรือนกับครอบครัวเป็นเวลานาน 9 ปีการที่หลวงปู่ไม่มีทายาท ( บุตร) เงินทองทรัพย์ที่หามาได้นอกจากจะนำไปทำบุญให้ทานแล้วไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรหลวงปู่จึงขออนุญาติจากนางสีดา (ซึ่งเป็นภรรยา) ตัดสินใจออกบวชและภรรยาก็ไม่ได้ทัดทานหรือขัดข้องแต่อย่างใดนั้นเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ว่าหลวงปู่ท่านเป็นบุคคลที่มีบุญบารมีมาแต่ปางก่อนที่ท่านได้ออกบวชมุ่งสู่สายธรรมะเพื่อที่จะได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างแท้จริงต่อไป
หลวงปู่ชมฐานะธัมโมอุปสมบทเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2,461 เวลา 07,40 น. ขณะนั้นหลวงปู่ชมมีอายุได้ 34 ปี
พระอุปัชฌาย์ - พระครูเหมถาพรมย์จารี
พระกรรมวาจาจารย์ - พระครูสีลา
พระอนุสาวนาจารย์ - พระปลัดสิงห์
ที่วัดกลางตำบลสระคูอำเภอสุวรรณภูมิจังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อหลวงปู่ท่านได้บวชได้ 1 ธุดงค์พรรษาก็ได้ออก
วิปัชนากรรมฐานเพื่อแสวงบำเพ็ญเพียรศึกษาหลักธรรมอยู่ตามแนวชายแดนอีสานได้เขตประเทศเขมรเขตจังหวัดอุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, บุรีรัมย์จากหลายๆอาจารย์เป็นเวลาหลายพรรษาจนหลวงปู่มีวิชาอาคมแก่กล้าหลายด้านเช่นวิชาอาคมทางด้านเมตตามหานิยม, คงกระพันชารีแคล้วคลาด, มหาอุต, ป้องกันขับไล่คุณไสยคุณผีคุณคนหลวงปู่มีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถมากมีอิทธิปฎิหาริย์นานัปการจนคนเล่าขานกันว่า "หลวงปู่มีวิชาสามารถล่องหนหายตัวได้ "เรื่องราวตอนหลวงปู่เดินธุดงค์ไปตามแนวเขตทุรกันดารนั้นมีมากมายผจญทั้งสัตว์ร้ายภูตผีปีศาจแต่ท่านสามารถฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นได้โดยตลอดหลังจากนั้นหลวงปู่ก็ได้เดือนทางกลับบ้านอำเภอสุวรรณภูมิผ่านมาทางปรางค์กู่โกพระนาซึ่งในบริเวณปรางค์กู่นั้นไปปกคลุมไปด้วยแมกไม้นานาชนิดมือมิดจนมองดูน่ากลัวชาวบ้านไม่กล้าผ่านเข้าไปในเขตปรางค์กู่เพราะเป็นเขตผีดุมีบรรดาสัมภเวสีเปรตอสุรกายตลอดจนสัตว์ดุร้ายแมลงมีพิษนานาชนิดในบริเวณเขตป่ามีเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่เศษซึ่งผ่านไปทางประเทศเขมร (กัมพูชา) ศรีสะเกษจังหวัด - สุรินทร์ (ปัจจุบัน) หลวงปู่เห็นว่าเป็นทำเลที่เหมาะสมหลวงปู่จึงเลือกที่ดังกล่าวพักพาอาศัยต่อมาได้พาชาวบ้านญาติโยมสร้างวัดขึ้นที่ปรางค์กู่รียกว่า "วัดกู่พระโกนา" จนถึงปัจจุบัน
จากการที่หลวงปู่ชมท่านมีวิชาอาคมแกร่งกล้าดังที่เล่ามาแล้วทำให้ชื่อเสียงของหลวงปู่ลือกระฉ่อนไปทั่วทุกสารทิศและมีลูกศิษย์ที่เป็นเกจิอาจารย์อยู่เช่นหลายองค์
1. หลวงปู่วรพรตวิธานวัดจุมพลตำบลก้านเหลืองจังหวัดขอนแก่น (หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง)
2. หลวงพ่อกองยโสธโร (พระครูกิติคุณาภรณ์) วัดกู่พระโกนาอำเภอสุวรรณภูมิจังหวัดร้อยเอ็ดปัจจุบันทั้งสององค์ยังมีชีวิตอยู่
ความผูกพันระหว่างชาวตำบลแสนหนอง - ตำบลเสือโก้กอำเภอวาปีปทุมและชาวอำเภอแกดำเป็นบางส่วนกับหลวงปู่ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพนับถือบูชามาโดยตลอดตราบเท่าทุกวันนี้เนื่องจากเมื่อประมาณปีพ.ศ. 2,480 เศษๆได้เกิดอาเพสและสิ่งประหลาดขึ้นภายในหมู่บ้านหนองแสนและหมู่บ้านใกล้เคียงหลายๆหมู่บ้านได้เจ็บไข้ได้ป่วยโดยไม่รู้สาเหตุเกิดโรดระบาดมีคนล้มตายเป็นประจำมิได้ขาดจนชาวบ้านหวาดผวากินไม่ได้นอนไม่หลับไม่มีวิธีที่จะแก้ไขได้ชาวบ้านคนเฒ่าคนแก่พระภิกษุสงฆ์ได้ประชุมปรึกษาหารือกันตกลงเป็นเอกฉันท์ทราบว่าที่วัดกู่พระโกนาอำเภอสุวรรณภูมิมีพระเกจิอาจารย์ที่มีวิชาแก่กล้าชื่อ "หลวงพ่อชม" สามารถปราบภูตผี
ปีศาจและรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ตลอดจนป้องกันขับไล่คุณไสยคุณผีคุณคนได้และตกลงกันว่าส่งตัวแทนไปนิมนต์หลวงปู่มาเมื่อประมาณปีพ.ศ. 2,490 เมื่อหลวงปู่ถึงบริเวณบ้านหนองแสนแล้วหลวงปู่ก็ได้ทำพิธีกรรมของท่านทาง
ไสยศาสตร์ปักหลักเขตเเดนให้เป็นที่เป็นทางและมีหลักซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางรวมใจอยู่ที่มุมหนองน้ำซึ่งเรียกว่า "หนองใหญ่ว่า" ด้านมุมทิศตะวันออกของหนองคือหลักบ้านอยู่ทุกวันนี้หลังจากที่หลวงปู่ได้มานั่งวิปัชนากรรมฐานแล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็คลี่คลายไปในทางที่ดีพี่น้องชาวบ้านหนองแสนได้อยู่ร่วมกันมาด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดหลังจากนั้นชาวบ้านในเขตระแวกใกล้เคียงทราบข่าวเล่าลือแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ซึ่งมีหลายหมู่บ้านได้ไปนิมนต์ท่านมาทำพิธีกรรมเหมือนกับบ้านหนองแสนและหลวงปู่ก็ได้ผ่านมาทางบ้านหนองแสนอีกเมื่อต้นปีพ.ศ. 2,496 และในปีเดียวกันนี้หลวงปู่ได้บอกลูกศิษย์คนสนิทของท่านคือหลวงพ่อกองว่าในวันที่ 16 เดือน 8 ปีนี้คือปีพ.ศ. 2,496 หลวงปู่จะตายแล้วหลวงปู่ชมก็ได้บอกกล่าวหลวงพ่อกองหลายอย่างหลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือนต่อมาตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคมพ.ศ. 2,496 หลวงปู่ก็ได้ละสังขารมรณภาพอย่างสงบตรงตามวันเวลาที่ได้บอกลูกศิษย์ไว้ล่วงหน้าแสดงว่าท่านหลวงปู่มีญาณหยั่งรู้ล่วงหน้าซึ่งเป็นสิ่งแปลกประหลาดน่าอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งรวมอายุของหลวงปู่ชมได้ 69 ปี (35 พรรษา) แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้วหลังจากหลวงปู่ได้มรณภาพไปเป็นเวลาประมาณ 50 ปีบุญบารมีตลอดคุณงามความดีของหลวงปู่ยังสถิตย์อยู่ในใจของลูกหลานชาวตำบลหนองแสนและผู้ที่รู้จักให้ความเคารพนับถือมาโดยตลอดประดุจหนึ่งหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยความอัศจรรย์ในอตีตและความยั่งรู้ในอนาคตด้วยปฎิหารย์ทุกอย่างเป็นไปได้